คอนแทคเลนส์สายตาสั้น: เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกสบาย ให้ภาพที่กว้างกว่า และไม่มีกรอบแว่นมาบดบังสายตา แต่สิ่งสำคัญคือต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและปัญหาสุขภาพตาที่อาจตามมาได้
การผ่าตัดแก้ไขสายตา (Refractive Surgery): เป็นการปรับความโค้งของกระจกตา หรือบางกรณีคือการใส่เลนส์เทียมเข้าไปในดวงตา เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งแว่นหรือคอนแทคเลนส์
วิธีการชะลอการเพิ่มของค่าสายตาสั้น (เน้นในเด็ก 6-12 ปี): วิธีการเหล่านี้มุ่งเน้นการควบคุม "ไม่ให้ค่าสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเร็ว" โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัย 6-12 ปี
อ่านเรื่องเลนส์ควบคุมสายตาสั้นเพิ่มเติม
ยาหยอดตา Atropine สายตาสั้นในความเข้มข้นต่ำ: เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการชะลอการเพิ่มของสายตาสั้น กลไกการทำงานของยาเชื่อว่า "ช่วยลดการยืดตัวของลูกตา" ทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้นช้าลง
คอนแทคเลนส์ Ortho-K (Orthokeratology): เป็นคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ที่ออกแบบมาให้ใส่ตอนกลางคืนเพื่อ "ปรับความโค้งของกระจกตาชั่วคราว" ส่งผลทำให้มองเห็นชัดเจนในตอนกลางวันโดยไม่ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์
แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ: เช่น เลนส์มัลติโฟคอล (Multifocal) หรือเลนส์คายการเพ่ง ถูกออกแบบมาเพื่อช่วย "ลดการเพ่งมองในระยะใกล้" ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนช่วยชะลอการเพิ่มของสายตาสั้นได้
ทุกๆ 20 นาทีที่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรืออ่านหนังสือ
ให้ละสายตาไปมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร)
เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
การทำเช่นนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลายจากการทำงานหนักในระยะใกล้ได้ แต่ในชีวิตจริงเป็นไปได้ยากมากตามกฎนี้
ผมแนะนำว่า ถ้าใช้สายตาไปได้สัก 1 -2 ชม. ก็เปลี่ยนบริบทบ้าง เช่น ลุกไปชงกาแฟ, กินน้ำ, เข้าห้องน้ำ เป็นต้น
มีงานวิจัยจำนวนมากพบว่า การใช้เวลาทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการเพิ่มของค่าสายตาสั้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
การออกไปอยู่ในที่ที่มีแสงธรรมชาติ (แม้จะเป็นวันฟ้าครึ้ม เมฆดำ) และการมองอะไรที่อยู่ไกลออกไป ที่โล่งๆ ช่วยให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย
การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานานและต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้น (พฤติกรรมของคนในปัจจุบัน)
ควรกำหนดเวลาการใช้อุปกรณ์เพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะในเด็ก และจัดเวลาพักสายตาตามกฎ 20-20-20 อย่างเคร่งครัดได้ยิ่งดี
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตา เช่น ผักใบเขียวเข้ม (คะน้า ปวยเล้ง) ผลไม้สีเหลืองหรือส้ม (แครอท ฟักทอง มะละกอ) ปลาทะเลน้ำลึก ถั่วต่างๆ ไข่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน A, C, E, สังกะสี, โอเมก้า 3, ลูทีน และซีแซนทีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงและปกป้องดวงตา
การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคตาบางชนิด เช่น ต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม(รอลิงค์)
ควรเลือกแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ 100% จริงๆเมื่อออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง
การพาตัวเองหรือบุตรหลานไปตรวจวัดสายตาและสุขภาพดวงตาโดยนักทัศนมาตร หรือจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปี
การตรวจสายตาเป็นประจำ จะช่วยให้ทราบค่าสายตาที่อาจเปลี่ยน ทำให้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลง และวางแผนการดูแลรักษาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม
ประเภทเลนส์สายตา
แบรนด์เลนส์สายตา
ติดต่อเรา