Myopia สายตาสั้น

ปัญหาใกล้ตัว แก้ไขได้ไม่ยากอย่างที่คิด!

ภาวะสายตาสั้น หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Myopia เป็นปัญหาสายตาที่พบบ่อยมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่เราใช้สายตาในระยะใกล้เป็นเวลานาน

"หัวใจหลักของปัญหาคือ แสงโฟกัสผิดที่!"

ในดวงตาที่ทำงานได้อย่างเป็นปกติ แสงจากวัตถุต่างๆ จะเดินทางผ่านกระจกตา(Cornea) และเลนส์ตา(Lens) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนเลนส์นูนที่ใช้ในการรวมแสง เพื่อหักเหแสงให้ไปตก "พอดี" บนจอประสาทตา(Retina) ซึ่งเป็นจุดรับภาพ เมื่อแสงโฟกัสบนจอประสาทตาได้อย่างแม่นยำ สมองก็จะแปลผลออกมาเป็นภาพที่ชัดเจน

แต่ในกรณีของ "คนสายตาสั้น" กลไกธรรมชาติของตาเราผิดเพี้ยนไป ทำให้แสงที่เดินทางเข้ามาในดวงตาไม่ได้ไปรวมกันที่จอประสาทตา แต่กลับรวมแสงแล้วตก "ก่อนถึงจอประสาทตา" นี่แหละคือต้นตอที่ทำให้เห็นภาพที่ระยะไกล "เบลอ" ไม่ชัดเจน

การที่แสงไปโฟกัสก่อนถึงจอประสาทตา มักมีสาเหตุหลักๆ มาจากความผิดปกติทางโครงสร้างของดวงตาเอง ซึ่งมี 2 สาเหตุหลักที่มักพบร่วมกันหรือแยกกัน ได้แก่:


1. ขนาดลูกตายาวเกินไป (Axial Length of Pathological Myopia): นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดครับ ลองจินตนาการว่าดวงตาของเรามีรูปร่างเหมือนลูกบอล ในกรณีของสายตาสั้นแบบลูกตายาว ลูกบอลนี้จะ "ยืดออกไปทางด้านหลัง" ทำให้ระยะห่างระหว่างกระจกตา/เลนส์ตา กับจอประสาทตายาวกว่าปกติ เมื่อแสงเดินทางเข้ามา แสงจะรวมตัวกันที่จุดโฟกัสตามกำลังหักเหของกระจกตาและเลนส์ตา แต่เนื่องจากจอประสาทตาอยู่ด้านหลังของจุดโฟกัสออกไป แสงจึงตกกระทบจอประสาทตาแบบที่ยังไม่รวมเป็นจุดเดียว ทำให้ภาพที่ได้บนจอประสาทตาเป็นภาพที่ไมชัดเจน


2. กำลังหักเหของกระจกตาหรือเลนส์ตามีมากเกินไป (Refractive Myopia): ในบางกรณี ขนาดความยาวของลูกตาอาจจะปกติ แต่กระจกตา(ด้านหน้าสุดของลูกตา) หรือเลนส์ตา(อยู่หลังรูม่านตา) กลับมีความโค้งมากเกินไป หรือมีความสามารถในการหักเหแสงสูงกว่าปกติ เพราะความสามารถในการรวมแสงที่ "มากเกินไป" จึงทำให้แสงถูกหักเหและรวมกันเร็วขึ้น จนไปโฟกัส "ตำแหน่งด้านหน้า" ของจอประสาทตา แม้ลูกตาจะมีขนาดความยาวปกติก็ตาม


ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะ "ขนาดลูกตาที่ยาวเกินไป" หรือ "ความสามารถในการรวมแสง/การหักเหที่มากเกินไป" ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ จุดโฟกัสของแสงที่เข้าตามา ตกอยู่ด้านหน้าจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาแปรแสงเป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ จึงเห็นภาพไม่ชัดเจน


ขนาดลูกตายาวเกินไป

กำลังหักเหเลนส์ตามีมากเกินไป

กำลังหักเหของกระจกตา(โค้งเกินไป)

เหตุผลที่เรียกว่า "สายตาสั้น"

คำว่า "สายตาสั้น" เป็นการอธิบายถึงลักษณะอาการแสดงคือ การมองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลออกไปได้ไม่ชัดเจน เบลอ หรือเห็นภาพพร่ามัว ในขณะที่ยังคงมองเห็นวัตถุที่อยู่ในระยะใกล้ๆ ได้ชัดเจนอยู่ "สั้น" ในที่นี้จึงหมายถึง "ระยะ" ที่ตามองเห็นชัดนั้นมีขีดจำกัดอยู่ในระยะที่ "สั้น" หรือใกล้กว่าคนปกติ โดยเมื่อวัตถุอยู่พ้นระยะที่ตามองเห็นชัดไปแล้ว ภาพที่เห็นจะเริ่มไม่คมชัด


อย่างที่กล่าวไปข้างต้น กลไกที่ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นนั่นคือ เมื่อแสงจากวัตถุที่อยู่ไกลเดินทางเข้าสู่ดวงตา ระบบการหักเหแสงของตา (กระจกตาและเลนส์ตา) จะรวมแสงให้ไปตกกระทบ "ด้านหน้า" ของจอประสาทตา แทนที่จะตกลงบนจอประสาทตาอย่างพอดี ทำให้ประสิทธิภาพที่สมองแปรสัญญาณออกมานั้นถึงไม่สมบูรณ์ ภาพที่เห็นจึงไม่คมชัด


ดังนั้น ชื่อเรียกภาวะว่า "สายตาสั้น" จึงเป็นการสื่อถึงขอบเขตหรือระยะการมองเห็นที่ถูกจำกัดให้อยู่ในระยะใกล้ๆเพียงเท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นระยะไกลได้ชัดเจนเหมือนตาคนปกติ


เหตุผลที่มองระยะใกล้ยังชัดอยู่

ในทางตรงกันข้าม แสงจากวัตถุที่อยู่ "ใกล้" ดวงตา จะเดินทางเข้าสู่ตาในลักษณะที่เรียกว่า "แสงลู่ออก" หรือมีการกระจายตัวของลำแสงมากกว่าแสงจากวัตถุไกลๆ ที่เกือบจะเป็นแสงขนาน


สำหรับดวงตาที่มีภาวะสายตาสั้น ซึ่งมักเกิดจากความยาวของลูกตาที่มากเกินไป หรือกำลังการหักเหแสงของกระจกตาหรือเลนส์ตาที่มากเกินไป การที่แสงจากวัตถุใกล้ๆ เป็นแสงที่ลู่ออกนี้ กลับทำให้ระบบการหักเหแสงที่ "เกินพอดี" แต่ตาคนสายตาสั้นนั้น สามารถรวมแสงที่ลู่ออกนี้ให้ไปตกกระทบ "บน" จอประสาทตาได้อย่างพอดีได้


เปรียบเทียบง่ายๆ คือ ตาคนสายตาสั้นมีกำลังหักเหแสงมากเกินไปสำหรับการมองวัตถุไกลๆ แต่กำลังที่มากเกินไปนี้กลับ "พอดี" หรือเหมาะสมพกับการหักเหแสงที่มาจากวัตถุในระยะใกล้ (ซึ่งเป็นแสงที่ลู่ออกมากกว่า) ทำให้ภาพของวัตถุที่อยู่ใกล้ๆ ตายังคงสามารถโฟกัสให้ลงบนจอประสาทตาได้อย่างถูกต้องและชัดเจน

แม้กลไกหลักคือแสงโฟกัสผิดที่ แต่สิ่งที่ทำให้โครงสร้างตาเปลี่ยนแปลงจนเกิดภาวะนี้ มักมาจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่:

พันธุกรรม (Genetics): หากพ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีประวัติสายตาสั้น โอกาสที่บุตรหลานจะเป็นสายตาสั้นก็มีสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดขนาดและรูปร่างของลูกตา

ปัจจัยสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม (Environmental Factors): นี่คือปัจจัยที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล(ใช้สายตาจ้องจอใกล้ๆ)

การใช้งานสายตาระยะใกล้เป็นเวลานานและต่อเนื่อง: การอ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ เป็นระยะเวลานาน ทำให้ดวงตาต้องเพ่งอย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นให้ลูกตามีแนวโน้มยาวขึ้นได้

ขาดการออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง: พบว่ามีการศึกษาจำนวนมากชี้ว่า การใช้เวลาอยู่กลางแจ้งเป็นประจำมีความเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงในการเกิดและพัฒนาของสายตาสั้น แสงแดดธรรมชาติและกิจกรรมที่ต้องมองระยะไกลมีผลดีต่อการพัฒนาของดวงตา

อายุ: สายตาสั้นมักเริ่มปรากฏและแย่ลงในอย่างเห็นได้ชัด "ช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น" ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตมากที่สุด

มองไกลไม่ชัด

หรี่ตา

ปวดหัว/ตาล้า

นั่งใกล้ หรือ มองใกล้ๆ

คุณมี "อาการ" เหล่านี้อยู่หรือเปล่า? เช็คลิสต์สัญญาณ "สายตาสั้น" เบื้องต้น

  • มองวัตถุระยะไกลไม่ชัดเจน เบลอ: เป็นอาการหลักของสายตาสั้น มองไกลไม่ชัด (เบลอ พร่ามัว) แต่มองใกล้ยังชัดอยู่ ซึ่งเกิดจากจุดโฟกัสของแสงตกหน้าจอประสาทตาแทนที่จะตกพอดี
  • ต้องหรี่ตาหรือเพ่งมอง: เมื่อมองไกลไม่ชัด มักจะหรี่ตาหรือเพ่งมอง เพื่อพยายามปรับโฟกัสให้เห็นชัดขึ้นชั่วคราว แต่ถ้าทำนานๆ จะทำให้เมื่อยตา
  • ปวดศีรษะ หรือตาล้า: อาการปวดศีรษะและตาล้าในผู้ที่มีสายตาสั้น มักเกิดจากการที่ดวงตาต้องทำงานหนักเกินไปเพื่อพยายามปรับภาพให้ชัด
  • นั่งใกล้ทีวี หรือขยับเข้าไปใกล้วัตถุที่ต้องการมอง: พฤติกรรมที่มักพบได้บ่อยในเด็ก โดยสังเกตง่ายๆคือ การนั่งใกล้ทีวี หรือขยับเข้าใกล้วัตถุ เพราะมองไกลไม่ชัดแต่มองใกล้ชัด พฤติกรรมนี้จึงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาจมีภาวะสายตาสั้น

อาการสายตาสั้นอื่นๆ นอกจากอาการหลักๆแล้ว ผู้มีสายตาสั้นบางรายอาจเห็น แสงไฟกลางคืนเป็นแฉกๆ หรือมีวงรอบดวงไฟ เกิดจากการกระจายตัวของแสงที่เข้าตา หรือมีสายตาเอียงร่วมด้วย

เมื่อพูดถึง "สายตาสั้น" เรามักจะได้ยินค่าตัวเลขติดลบตามมา ตัวเลขนี้คือสิ่งที่บ่งบอกถึงระดับความรุนแรงของภาวะสายตาสั้น และเป็นพื้นฐานในการพิจารณาว่าจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขด้วยวิธีใด เช่น การใส่แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์


ค่าสายตาสั้น -X.XX D. (Diopter - D) คืออะไร?


"ค่าสายตาสั้น" ถูกวัดเป็นหน่วยที่เรียกว่า ไดออปเตอร์ (Diopter - D) โดยค่านี้จะแสดงถึงกำลังของเลนส์ที่จำเป็นต้องใช้ในการแก้ไขการหักเหแสงให้ภาพไปตกกระทบที่จอประสาทตาได้อย่างพอดี สำหรับคนสายตาสั้น ค่าสายตาจะเป็น ตัวเลขติดลบ (-) ยิ่งตัวเลขหลังเครื่องหมายลบมีค่ามากขึ้น ก็ยิ่งแสดงว่ามีภาวะสายตาสั้นมากขึ้นและต้องการเลนส์ที่มีกำลังมากขึ้นในการแก้ไข เช่น ค่า -1.00 D. หมายถึง สายตาสั้น 100 โดยทั่วไปจะเรียกค่าสายตา "สั้นร้อยนึง" หรือ "สั้นเป็นร้อย"

แม้จะมีการแบ่งระดับสายตาสั้นที่หลากหลายอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปมักแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักๆ เพื่อความเข้าใจง่าย ดังนี้:


สายตาสั้นน้อย (Mild Myopia): โดยประมาณคือ ค่าสายตาสั้นตั้งแต่ -0.25 D. (1 Step) ประมาณถึง -3.00 D. หรือ -4.00 D.

ในกลุ่มนี้ การมองเห็นในระยะไกลอาจเริ่มเบลอเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่อาจยังมองเห็นในระยะใกล้ๆตัวได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องเพ่งมากนัก


สายตาสั้นปานกลาง (Moderate Myopia): โดยประมาณคือ ค่าสายตาตั้งแต่ -3.00 D. หรือ -4.00 D. ขึ้นไป ไปแต่ยังไม่เกิน -6.00 D.

ในระดับนี้ การมองเห็นในระยะไกลจะเบลอค่อนข้างชัดเจน และอาจเริ่มมีปัญหาในการมองเห็นวัตถุในระยะกลางๆด้วยหากไม่ได้รับการแก้ไข การมองเห็นในระยะใกล้ยังคงชัดเจนอยู่ แต่ระยะชัดจะเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับสายตา


สายตาสั้นมาก (High Myopia): โดยประมาณคือ ค่าสายตาตั้งแต่ช่วง -6.00 D. ขึ้นไป

ในระดับนี้ การมองเห็นในระยะไกลจะเบลออย่างมาก แม้แต่วัตถุที่อยู่ในระยะใกล้ก็อาจเริ่มไม่ชัดเจนหากไม่ได้รับการแก้ไข ระยะที่มองเห็นชัดโดยไม่ใช้เครื่องช่วยจะอยู่ใกล้กับใบหน้ามาก ผู้ที่มีสายตาสั้นมากๆ ควรได้รับการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพตาอื่นๆ ได้มากกว่ากลุ่มที่มีสายตาสั้นน้อยหรือปานกลาง

นี่คือคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัย และคำตอบก็คือ ไม่ได้มีค่าสายตาสั้นที่ตายตัวค่าเดียวที่ระบุว่าทุกคนจะต้องได้รับการแก้ไขทันที การตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ควรใส่แว่น หรือแก้ไขสายตาด้วยวิธีอื่นๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ดังนี้:


ระดับของค่าสายตาสั้น: แน่นอนว่าค่าสายตาที่สูงขึ้นมักจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่แม้มีค่าสายตาสั้นเล็กน้อย (เช่น -0.25 D. หรือ -0.50 D.) หากก่อให้เกิดปัญหาในการมองเห็นที่สงผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ควรได้รับการแก้ไข

อาการและการรบกวนชีวิตประจำวัน: นี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด หากค่าสายตาที่วัดได้ทำให้เกิดอาการมองไม่ชัด ที่รบกวนการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ เช่น มองกระดานดำไม่ชัดขณะเรียนหนังสือ, มองป้ายจราจรขณะขับรถไม่เห็นไม่ชัด, อ่านซับ NETFLIX ไม่ชัด หรือมองหน้าคนอื่นแยกไม่ออกจำไม่ได้ เพราะมองไม่เห็น นั่นคือสัญญาณว่าควรได้รับการแก้ไข เพื่อให้คุณภาพชีวิตและการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่นดีเยี่ยม

ลักษณะการใช้สายตาของแต่ละบุคคล: อาชีพ กิจกรรม หรืองานอดิเรก มีผลต่อความจำเป็นในการแก้ไขสายตา คนที่ต้องใช้สายตาในระยะไกลมากๆ เช่น นักบิน คนขับรถ หรือนักเรียน อาจต้องการแก้ไขสายตาแม้จะมีค่าสายตาสั้นไม่มากนัก ในขณะที่คนที่มีกิจกรรมส่วนใหญ่อยู่ในระยะใกล้ อาจยังไม่รู้สึกว่าถูกรบกวนมากนักด้วยค่าสายตาสั้นระดับเดียวกัน

อายุ และการพัฒนาการทางสายตา (โดยเฉพาะในเด็ก): ในเด็ก การแก้ไขสายตาสั้นแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจมีความสำคัญ เพื่อให้เด็กสามารถมองเห็นได้อย่างคมชัด ซึ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้และพัฒนาการทางสายตาที่ปกติ หากไม่แก้ไข อาจส่งผลต่อพัฒนาการการเรียนรู้ได้ (ความสามารถในการมองเห็นคือทักษะที่ต้องฝึกฝน ไม่ใช่ทักษะติดตัว)


ดังนั้น แทนที่จะถามว่า "สายตาสั้นเท่าไหร่ถึงต้องใส่แว่น?" ควรเปลี่ยนเป็นพิจารณาว่า "ค่าสายตาสั้นที่เป็นอยู่ ก่อให้เกิดปัญหาหรืออาการรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและการทำกิจกรรมที่จำเป็นของคุณมากน้อยแค่ไหน?"

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเข้ารับการตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดและรับคำแนะนำจากนักทัศนมาตร ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตา หรือจักษุแพทย์

 แว่นตา (Eyeglasses): เป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และนิยมมากที่สุด แก้ไขโดยการใข้ เลนส์เว้า  ทำหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้ไปตกกระทบที่บนจอประสาทตาได้พอดี

 คอนแทคเลนส์สายตาสั้น: เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกสบาย ให้ภาพที่กว้างกว่า และไม่มีกรอบแว่นมาบดบังสายตา แต่สิ่งสำคัญคือต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและปัญหาสุขภาพตาที่อาจตามมาได้


 การผ่าตัดแก้ไขสายตา (Refractive Surgery): เป็นการปรับความโค้งของกระจกตา หรือบางกรณีคือการใส่เลนส์เทียมเข้าไปในดวงตา เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งแว่นหรือคอนแทคเลนส์

  • เลสิคสายตาสั้น (LASIK): เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการแก้ไขสายตาสั้น โดยทางจักษุแพทย์จะใช้เลเซอร์ "ปรับความโค้งของกระจกตา"
    
    ขั้นตอนรวดเร็ว และฟื้นตัวได้ไวมากหลังการผ่าตัด
  • PRK (Photorefractive Keratectomy): เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการผ่าตัดแก้ไขสายตาสำหรับผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลสิค เช่น ผู้ที่มีกระจกตาบาง โดยวิธีนี้จะมีการขูดผิวกระจกตาชั้นนอกออกก่อนแล้วจึงใช้เลเซอร์ "ปรับความโค้งของกระจกตา"
  • ReLEx SMILE สายตาสั้น: เป็นเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่รบกวนกระจกตาน้อยลงอย่างมาก โดยจะมีการใช้เลเซอร์ "ตัดชิ้นเนื้อกระจกตาเล็กๆ" ออกมาผ่านแผลที่เล็กมาก ทำให้กระจกตายังคงความแข็งแรงได้ดีขึ้น และลดโอกาสเกิดภาวะตาแห้งหลังการผ่าตัด
  • การใส่เลนส์เสริม ICL สายตาสั้น (Implantable Collamer Lens): เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมากๆ หรือมีกระจกตาบางเกินกว่าที่จะทำเลสิคได้ โดยจักษุแพทย์จะทำการ "ใส่เลนส์เทียมเข้าไปในดวงตา" เพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นโดยไม่สนกับกระจกตา



 วิธีการชะลอการเพิ่มของค่าสายตาสั้น (เน้นในเด็ก 6-12 ปี): วิธีการเหล่านี้มุ่งเน้นการควบคุม "ไม่ให้ค่าสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเร็ว" โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัย 6-12 ปี

 อ่านเรื่องเลนส์ควบคุมสายตาสั้นเพิ่มเติม 



 ยาหยอดตา Atropine สายตาสั้นในความเข้มข้นต่ำ:
เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการชะลอการเพิ่มของสายตาสั้น กลไกการทำงานของยาเชื่อว่า "ช่วยลดการยืดตัวของลูกตา" ทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้นช้าลง



 คอนแทคเลนส์ Ortho-K (Orthokeratology):
เป็นคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ที่ออกแบบมาให้ใส่ตอนกลางคืนเพื่อ "ปรับความโค้งของกระจกตาชั่วคราว" ส่งผลทำให้มองเห็นชัดเจนในตอนกลางวันโดยไม่ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์


 แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ: เช่น เลนส์มัลติโฟคอล (Multifocal) หรือเลนส์คายการเพ่ง ถูกออกแบบมาเพื่อช่วย "ลดการเพ่งมองในระยะใกล้" ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนช่วยชะลอการเพิ่มของสายตาสั้นได้

 อ่านเรื่องเลนส์ลดเพ่งเพิ่มเติม 

  • พักสายตาอย่างถูกวิธี (กฎ 20-20-20) นี่เป็นวิธีที่ช่วยลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตาจากการเพ่งมองระยะใกล้

 ทุกๆ 20 นาทีที่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรืออ่านหนังสือ

 ให้ละสายตาไปมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร)

 เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที

การทำเช่นนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลายจากการทำงานหนักในระยะใกล้ได้ แต่ในชีวิตจริงเป็นไปได้ยากมากตามกฎนี้

ผมแนะนำว่า ถ้าใช้สายตาไปได้สัก 1 -2 ชม. ก็เปลี่ยนบริบทบ้าง เช่น ลุกไปชงกาแฟ, กินน้ำ, เข้าห้องน้ำ เป็นต้น


  • ปรับแสงสว่างและท่าทาง การอ่านหนังสือ/ใช้คอมพิวเตอร์/มือถือ
    
    
    แสงสว่าง: ควรมีแสงสว่างเพียงพอและสม่ำเสมอในการทำงานหรือเล่นมือถือ ควรหลีกเลี่ยงแสงที่จ้าเกินไป หรือแสงที่สลัวเกินไป ควรให้แสงตกกระทบจากด้านข้างหรือด้านหลัง ไม่ใช่จากด้านหน้าตรงๆ ที่จะทำให้เกิดแสงสะท้อนเข้าตา เช่น เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ ควรปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสมกับแสงรอบข้าง
    
    
    ท่าทาง: รักษาท่านั่งให้ถูกต้อง หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ห่างจากตาประมาณ 1 ช่วงแขน (ประมาณ 50-70 ซม.) โดยให้ขอบบนของหน้าจออยู่ในระดับสายตาหรือต่ำกว่าเล็กน้อย หรือเมื่อใช้มือถือควรให้ห่างจากตาประมาณ 30-40 ซม. หลีกเลี่ยงการใช้มือถือขณะนอนราบ เพราะจะทำให้ต้องเพ่งและอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม


  • เพิ่มเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง (สำคัญมาก โดยเฉพาะในเด็ก)

 มีงานวิจัยจำนวนมากพบว่า การใช้เวลาทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการเพิ่มของค่าสายตาสั้นได้อย่างมีนัยสำคัญ

 การออกไปอยู่ในที่ที่มีแสงธรรมชาติ (แม้จะเป็นวันฟ้าครึ้ม เมฆดำ) และการมองอะไรที่อยู่ไกลออกไป ที่โล่งๆ ช่วยให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย


  • จำกัดเวลาการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล

 การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานานและต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้น (พฤติกรรมของคนในปัจจุบัน)

 ควรกำหนดเวลาการใช้อุปกรณ์เพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะในเด็ก และจัดเวลาพักสายตาตามกฎ 20-20-20 อย่างเคร่งครัดได้ยิ่งดี


  • ทานอาหารที่บำรุงสายตา

 การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตา เช่น ผักใบเขียวเข้ม (คะน้า ปวยเล้ง) ผลไม้สีเหลืองหรือส้ม (แครอท ฟักทอง มะละกอ) ปลาทะเลน้ำลึก ถั่วต่างๆ ไข่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

 อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน A, C, E, สังกะสี, โอเมก้า 3, ลูทีน และซีแซนทีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงและปกป้องดวงตา


  • ใส่แว่นกันแดด

 การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคตาบางชนิด เช่น ต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม(รอลิงค์)

 ควรเลือกแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ 100% จริงๆเมื่อออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง


  • การตรวจสายตาเป็นประจำ

 การพาตัวเองหรือบุตรหลานไปตรวจวัดสายตาและสุขภาพดวงตาโดยนักทัศนมาตร หรือจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปี

 การตรวจสายตาเป็นประจำ จะช่วยให้ทราบค่าสายตาที่อาจเปลี่ยน ทำให้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลง และวางแผนการดูแลรักษาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม

สรุป:

"สายตาสั้น" ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อน แต่เกิดจากความผิดปกติทางโครงสร้างของดวงตาที่ทำให้ "แสงจากวัตถุที่อยู่ไกล โฟกัสก่อนถึงจอประสาทตา" แทนที่จะโฟกัสพอดีบนจอประสาทตา ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจาก "ลูกตายาวเกินไป" หรือ "กระจกตา/เลนส์ตามีกำลังหักเหมากเกินไป" โดยมีปัจจัยทาง "พันธุกรรม" และ "พฤติกรรมการใช้ชีวิต" เข้ามาเกี่ยวข้อง และการทำความเข้าใจกลไกและสาเหตุเหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพสายตา


ประโยชน์ของการแก้ไขสายตาสั้น:

การแก้ไขสายตาสั้นที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณมองเห็นได้อย่างคมชัดขึ้น ลดอาการปวดศีรษะและตาล้าที่เกิดจากการเพ่ง และช่วยให้ทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้น


คำแนะนำสำคัญ:

สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือก วิธีแก้สายตาสั้น หรือ รักษาสายตาสั้น ที่ดีที่สุดคือการปรึกษา นักทัศนมาตร หรือ จักษุแพทย์ เพื่อตรวจประเมินค่าสายตาและสุขภาพของดวงตาอย่างละเอียด และรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ปรึกษานักทัศนมาตรเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้อง

หรือ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy